วิธีการทำธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาให้ประสบความสำเร็จ

การทำธุรกิจโรงเรียนสอนภาษา

 

ในยุคที่กำลังจะย่างเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแบบนี้ ธุรกิจที่น่าจะโต และทำรายได้ในระยะยาว คงไม่พ้นธุรกิจสถานบันสอนภาษาต่างๆ ทั้งการสอนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาอื่นๆ ให้กับคนไทย หรือสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่น่าทำทั้งสิ้น วันนี้ผมก็จะขอเสนอบทความรวยด้วยการทำธุรกิจโรงเรียนสอนภาษา มาเริ่มอ่านกันได้เลยครับ

การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจโรงเรียนสอนภาษา

ก่อนที่จะเริ่มตั้งโรงเรียนสอนภาษา เราก็ต้องไปจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจกันก่อนนะครับ

ธุรกิจประเภทบุคคลธรรมดา

มีลักษณะเป็นกิจการที่มีเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา คนเดียว หรือหลายคน หรือห้างหุ้นส่วนสามัญประเภทไม่จดทะเบียน ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจสอนภาษาไทย และหรือภาษาต่างประเทศ ประเภทบุคคลธรรมดา ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์

ประเภทนิติบุคคล บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด และห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล

ผู้ประกอบการธุรกิจต้องจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

สถานที่ยื่นขอจดทะเบียน

– กรุงเทพมหานคร ยื่นขอจดทะเบียน ณ สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 1 – 7 และส่งจดทะเบียนธุรกิจกลาง สำนักทะเบียนธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
– ต่างจังหวัด ยื่นขอจดทะเบียน ณ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด ที่ห้างหุ้นส่วนบริษัทมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่

ค่าธรรมเนียม

จดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วน
– ผู้เป็นหุ้นส่วนไม่เกินสามคน 1,000 บาท
– ผู้เป็นหุ้นส่วนเกินสามคน ชำระเพิ่มสำหรับจำนวนในที่เกินอีก คนละ 200 บาท
จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด
– จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ 500 – 25,000 บาท
– จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด 5,000 – 250,000 บาท

ภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่ม

ผู้ประกอบธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาไทย และหรือภาษาต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ และไม่มีหน้าที่ต้องยื่นเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีป้าย

ผู้ประกอบธุรกิจโรงเรียนสอน ตามระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 จะได้รับการยกเว้นภาษีป้ายที่ติดตั้งไว้หน้าสถานประกอบการ

กฎหมาย และระเบียบเฉพาะธุรกิจ

– การขออนุญาตจัดตั้งโรงเรียน และใบอนุญาตให้เป็นผู้จัดการ ครูใหญ่ และครู หากธุรกิจให้บริการสอนภาษาไทย และหรือภาษาต่างประเทศ มีลักษณะเป็นโรงเรียนตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 มาตรา 4 กล่าวคือ เป็นโรงเรียนเอกชน อันได้แก่สถานศึกษา หรือสถานที่ที่บุคคลจัดการให้การศึกษา ในระดับที่ต่ำกว่าขั้นปริญญาตรีแก่นักเรียนทุกผลัดรวมกันเกินเจ็ดคนขึ้นไป ต้องขออนุญาตจัดตั้งโรงเรียน และขออนุญาตการเป็นบุคลากรประจำโรงเรียน

สถานที่ขออนุญาต

– กรุงเทพมหานครยื่นขอ ณ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ
– ต่างจังหวัด ยื่นขอ ณ สำนักงานศึกษาธิการอำเภอ หรือกิ่งอำเภอ แห่งท้องที่นั้น

ค่าธรรมเนียม

– ใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียน ฉบับละ 1,000 บาท
– ใบอนุญาตให้เป็นผู้จัดการ ฉบับละ 50 บาท
– ใบอนุญาตให้เป็นครูใหญ่ ฉบับละ 25 บาท
– ใบอนุญาตให้เป็นผู้จัดการ ฉบับละ 15 บาท

นอกจากนี้ยังมีกฎและระเบียบด้านลิขสิทธิ์ สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม สวัสดิการและการคุ้มครองแรงงานที่ต้องถือปฏิบัติ

การลงทุนโรงเรียนสอนภาษา

ค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนเริ่มต้น จะแตกต่างกันตามขนาด และลักษณะของกิจการจากข้อมูลเฉลี่ยของการสำรวจการลงทุนเริ่มต้นของผู้ประกอบธุรกิจ จำแนกดังนี้
– ค่าตกแต่งอาคาร เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้สำนักงาน คิดเป็นร้อยละ 74
– ค่าเครื่องมือ และอุปกรณ์การเรียน การสอน คิดเป็นร้อยละ 4 ประกอบด้วย กระดาน และแถบบันทึกเสียง เป็นต้น
– เงินทุนหมุนเวียน อัตราส่วนร้อยละ 22 ส่วนใหญ่เป็นค่าเช่าสถานที่ เงินเดือนครูผู้สอน เงินเดือนพนักงาน ค่าน้ำประปา และไฟฟ้า เป็นต้น

อัตราผลตอบแทนทางการเงิน

อัตราผลตอบแทนทางการเงินของธุรกิจขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ และความสามารถในการบริหารธุรกิจของผู้ประกอบกิจการ จากการสำรวจพบว่า ผลตอบแทนที่ได้รับจากรายได้ทั้งปี ประมาณร้อยละ 8 ส่วนผลตอบแทนที่ได้จากเงินลงทุนทั้งหมด ประมาณร้อยละ 14 ต่อปี โดยจะได้รับเงินลงทุนทั้งหมดคืนภายในระยะเวลาประมาณ 4 ปี

การตั้งราคา และโครงสร้างราคา

ปัจจัยการตั้งราคา

ปัจจัยการตั้งราคาประกอบด้วย
– ต้นทุน
– ทำเลที่ตั้ง
– ชื่อเสียงของโรงเรียน
– ปริมาณผู้เรียน และระยะเวลาการสอน ในแต่ละหลักสูตร
– ค่าบริการของสถาบันสอนภาษาในระดับเดียวกันในท้องตลาด

ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าราคาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด

โครงสร้างราคา

โครงสร้างราคาคำนวณโดย ต้นทุนผันแปร + ต้นทุนคงที่จัดสรร + กำไรรที่ต้องการ
– ต้นทุนผันแปร เช่น ค่าจ้างอาจารย์พิเศษ เป็นต้น
– ต้นทุนคงที่จัดสรร เช่น ค่าเช่าสถานที่ เงินเดือนพนักงาน ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า และค่าเสื่อมราคาสิ่งปลูกสร้าง เครื่องมืออุปกรณ์ เป็นต้น

การบริหารจัดการ

การบริหารจัดการภายในโรงเรียน

1. ต้องมีความรู้พื้นฐานในธุรกิจให้บริการของตนเอง และติดตามความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
2. ต้องมีความเป็นผู้นำ และพื้นฐานความรู้ด้านการบริหารจัดการ
3. ดำเนินการทางธุรกิจให้ถูกต้องต่อกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับ
4. จัดทำแผนธุรกิจที่เหมาะสม ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
5. ต้องให้ความสำคัญ และให้เวลากับการบริหารอย่างใกล้ชิด
6. ด้านการบริหาร ต้องรับผิดชอบด้านการเงิน บัญชี จัดซื้อ บุคคล ธุรการ ดูแลความสะอาด ต้อนรับลูกค้า และบริหารงานทั่วไป
7. ด้านการสอน มีหน้าที่ในการจัดหลักสูตร จัดตารางสอน คัดเลือกอาจารย์ผู้สอน กำกับดูแลด้านการสอน ประเมินผล และออกใบรองรองเมื่อจบหลักสูตร และดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสำนักงานการศึกษาเอกชน (สช.)

พนักงาน และการอบรมพนักงาน

1. พนักงานประจำเพื่อทำงานทั่วไปด้านการเก็บเงิน ต้อนรับลูกค้า ทำความสะอาด และสอน เป็นต้น โดยจำนวนจะขึ้นไปตามขนาดของโรงเรียน
2. สำหรับจำนวนครูผู้สอน จะขึ้นอยู่กับจำนวนหลักสูตรที่เปิดสอน ในการคัดเลือกครูผู้สอน เจ้าของธุรกิจจะให้ทดลองสอนก่อน ซึ่งวุฒิการศึกษาของครูนั้น ส่วนใหญ่ต้องจบการศึกษาขั้นต่ำระดับอาชีวศึกษา(ปวช./ปวส.) จนถึงระดับปริญญาตรี
3. ส่งเสริมและให้โอกาสพนักงานเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจในลักษณะแบ่งปันผลประโยชน์จากรายได้
4. ให้ความสำคัญกับการสรรหา และฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรในโรงเรียน
5. ให้ผลตอบแทน และสิ่งจูงใจที่เหมาะสมเพื่อให้แรงกระตุ้นในการปฏิบัติงานของพนักงาน
6. ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการบริหาร หรือเสนอความคิดเห็น จะทำให้พนักงานมีความรัก และภักดีต่อองค์กร

ข้อดี และข้อเสียของธุรกิจ

ข้อดี

1. เป็นธุรกิจที่ไม่มีความสลับซับซ้อนม และใช้พนักงานน้อย
2. ใช้เงินลงทุนไม่สูง และให้ผลตอบแทนในเกณฑ์ดี
3. เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ หาซื้อได้ง่าย และราคาไม่แพง

ข้อเสีย

1. ทำเลย่านในธุรกิจการค้า หรือแถบโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยที่มีคนสัญจรไปมาจำนวนมาก หายาก และมีค่าเช่าที่ค่อนข้างสูง
2. ขั้นตอนการจัดตั้งยุ่งยากเล็กน้อย เนื่องจากต้องขออนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ
3. การจัดหาครูสอนที่มีความรู้ และทักษะในการสอน หาค่อนข้างยาก

โอกาส และอุปสรรคของธุรกิจ

โอกาส

1. ชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้มีผู้สนใจเรียนรู้ด้านภาษาเพิ่มมากขึ้น
2. คนทำงานมาเรียนจำนวนมาก เพราะบางบริษัทจ่ายค่าภาษาเพิ่ม ถ้ามีทักษะด้านภาษาอื่นๆ
3. การเปิดเสรีการค้าทำให้คนไทยต้องเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมากขึ้น เพื่อสื่อสารทำธุรกิจกับชาวต่างชาติ
4. ผู้ปกครองมักให้การสนับสนุนให้บุตรหลานมาเรียน เพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

อุปสรรค

1. ถ้าช่วงใดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จะทำให้มีผู้มาเรียนน้อยลง
2. มีโรงเรียนสอนภาษาไทย และภาษาต่างประเทศจำนวนมาก และเปิดสอนในลักษณะเป็นแฟรนไชส์ มีมาตรฐานสูง เป็นที่เชื่อถือมากกว่าสถาบันขนาดเล็ก

การตลาด

หลักสูตรการสอน

1. สรรหาเฉพาะแต่อาจารย์ผู้สอนที่มีความรู้ความสามารถสูงและมีทักษะในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียน และมีอัธยาศัยที่ดีกับนักเรียน
2. มีการทดสอบระดับความรู้ของผู้เรียนและให้เรียนในหลักสูตรที่สอดคล้องกับระดับพื้นฐานความรู้
3. จัดหลักสูตรการสอนใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละขณะ
4. จัดหลักสูตรการสอนนอกสถานที่ โดยสอนเป็นกลุ่ม ณ สถานประกอบกิจการที่ผู้เรียนทำงานอยู่ โดยการประสานขอความร่วมมือกับผู้ประกอบกิจการ
5. จัดทำหลักสูตรเฉพาะตามความต้องการของผู้ประกอบกิจการแต่ละแห่งเพื่อพัฒนาความรู้ด้านภาษาแก่พนักงาน
6. สร้างมาตรฐานด้านการให้บริการและอัตราค่าบริการ
7. มีการออกใบประกาศนียบัตรรับรองการเรียน เมื่อผู้เรียนผ่านการประเมินผลตามเกณฑ์ที่กำหนด

สถานที่ตั้งโรงเรียน

1. เลือกทำเลที่ตั้งให้เหมาะสมโดยเลือกในย่านสถานศึกษาต่างๆ หรือแหล่งห้างสรรพสินค้าต่างๆ
2. ตกแต่งสถานที่ให้โอ่โถง ไม่แออัดจนเกินไป ดูสะอาด และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนครบครัน

การส่งเสริมการขาย

1. ทำป้ายโฆษณาหน้าสถานบริการให้สะดุดตา
2. ทำโบว์ชัว แผ่นพับ แนะนำบริการ แจกแก่กลุ่มเป้าหมาย
3. ลงโฆษณาในสื่อที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจำนวนมากด้วยต้นทุนต่ำ
4. ให้ส่วนลดพิเศษในกรณีที่นักเรียนรวมกลุ่มมาเรียนโดยขอให้ทางโรงเรียนจัดหลักสูตรให้เป็นการเฉพาะกลุ่ม
5. การให้ส่วนลดพิเศษแก่นักเรียนที่มาเรียนเป็นกลุ่ม เช่น พี่น้องมาเรียนด้วยกัน
6. ให้ส่วนลดพิเศษแก่นักเรียนที่เคยมาเรียนในหลักสูตรอื่นของของเรียนมาก่อน

การบัญชี และการเงิน

1. ไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายประจำมากเกินไป
2. มีโครงสร้างเงินลงทุนที่เหมาะสม ไม่ก่อภาระหนี้มากเกินไป
3. บริหารการเงินอย่างเหมาะสมเพื่อให้ธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงิน
4. นำกำไรจากการดำเนินงานเป็นเงินทุนสำรอง หรือสำหรับการขยายธุรกิจ
5. แยกบัญชีระหว่างบัญชีธุรกิจ และบัญชีส่วนตัว เพื่อสามารถควบคุม และวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของธุรกิจได้ถูกต้อง
6. ควรจัดทำงบการเงินให้ถูกต้อง
7. นำระบบคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมสำเร็จรูปทางบัญชีมาช่วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน

แนวคิดในการทำธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาไทย

ซึ่งในวันนี้ก็อยากจะแนะนำ ธุรกิจสถาบันสอนภาษาไทย เพราะอะไรหน่ะหรือ กุญแจสู่ความสำเร็จนี้นั้นคือความต่าง เพราะใครๆ ต่างก็เปิดสถาบันสอนภาษาอังกฤษ และภาษาจีนที่ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดในช่วง 1 ถึง 2 ปีนี้ ฉะนั้นการเปิดสถาบันสอนภาษาไทยจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากที่สุด เพราะว่าแน่นอน AEC เข้ามาเมื่อไหร่ คนต่างชาติจะหลั่งไหลเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น กลุ่มคนต่างชาติมีน้อยนักที่จะรู้ภาษาไทย ดังสุภาษิต เข้าเมืองตาหลิวต้องหลิวตาตาม ฉะนั้นมาอยู่ประเทศไทย ไม่รู้ภาษาไทยก็ยังไงๆ อยู่ แน่นอนว่ากลุ่มคนต่างชาติเหล่านี้ จะต้องแห่มาเรียนภาษาไทยกันอย่างแน่นอน

ซึ่งหากคุณพอมีทุนในระดับนึง ธุรกิจนี้เป็นที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะภาษาไทยเป็นภาษาแม่ที่คนไทยทุกคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว การจัดจ้างบุคลากรย่อมหาง่ายกว่าภาษาอื่นๆ และค่าจ้างก็ไม่แพงถ้าเทียบกับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน แบบเรียนตามหลักสูตรต่างๆ นั้นมีอยู่เกลื่อนให้เลือกใช้สอย เพียงแค่ลงทุนสถานที่ และตกแต่งนิดหน่อยมากน้อยตามกำลังทรัพย์

ในเรื่องของทำเลก็มีส่วนสำคัญว่าธุรกิจของคุณจะรอดหรือร่วง ทำเลดีๆ ก็มักจะมีราคาสูงตามไปด้วย ฉะนั้นควรศึกษาพื้นที่ก่อนลงทุนกันไว้ก่อน ดีกว่าลงทุนแล้วขาดทุน ถ้าคุณมีเครดิตที่ดี การกู้ธนาคารเป็นอีกตัวเลือกนึงที่จะทำให้ธุรกิจคุณเป็นจริงได้ หากคุณมีทุนน้อย และมีความรู้ภาษาไทยดีเป็นทุนเดิม หาทำเลไม่ได้ ควรเริ่มจากเล็กๆ นั่นคือ ใช้พื้นที่ 1 ห้อง จัดวางเฟอร์นิเจอร์สำหรับการสอนเอาไว้ รับสอนกลุ่มเล็กๆ วิธีนี้นั้น คุณสามารถครีเอทการสอนได้ด้วยตัวเอง เพราะปัจจุบันมีวิธีการสอนหลากหลายแบบ โดยเฉพาะการเรียนผ่านกิจกรรมต่างๆ จะทำให้ผู้เรียนไม่เบื่อ และรู้สึกสนุกตามไปด้วย

ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ธุรกิจสอนภาษานั้น เป็นการลงทุนที่ได้ผลกำไรแบบระยะยาว และอาศัยการบริหารงานแบบมืออาชีพ เพราะธุรกิจนี้มีอัตราการแข่งขันสูงแน่นอนในอนาคต แต่หากคุณมีทีมงานบริหารที่ดี ธุรกิจสอนภาษาของคุณจะไปได้สวย กินยาวแน่นอน ทั้งนี้รายได้นั้นขึ้นอยู่กับการวางแผนคอร์สเรียนเป็นหลัก ปัจจุบันสถาบันต่างๆ มีคอร์สแบบนับชั่วโมงเรียน เรียนตามตารางที่กำหนด เรียนแบบฟุตเฟ่ต์เหมาจ่าย แล้วแต่จะเลือกกันตามเห็นสมควร หากใครสนใจธุรกิจนี้หล่ะก็ จะต้องมีการยื่นคำร้องทาง สช. (สำนักงานคณะกรรมการศึกษาเอกชน) สช. จะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ถ้าผ่าน 15-30 วัน ก็อนุมัติ และเอกสารต่างๆ อีกพอสมควร ดูแล้วอาจจะยุ่งยากสักนิด แต่รับรองไปได้ชัวร์

เจาะลึกสถานที่ไหนเหมาะกับการเปิดสถาบันหรือโรงเรียนสอนภาษา

ถ้าพูดถึงการหาทำเลแล้วหล่ะก็ หลายๆ คน คงนึกไปถึงแหล่งที่คนพลุกพล่านอย่าง ย่านสีลม สยาม ราชประสงค์ อนุสาวรีย์ชัย ซึ่งคุณคิดไม่ผิดหรอก เพราะพื้นที่เหล่านี้เป็นทำเลทอง ค้าขายอะไรก็รวย เพราะเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่มีกลุ่มคนสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน แต่หากยิ่งคนพลุกพล่านมากเท่าไหร่ ราคาค่าเช่าก็แพงตามขึ้นไปด้วย ซึ่งหากคุณเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจหล่ะก็ ควรมองข้ามทำเลแสนแพงเหล่านี้ไปได้เลย

การเปิดสถาบันสอนภาษานั้น พื้นที่มีส่วนสำคัญมากๆ โจทย์ยังคงเป็นสถานที่ ที่เป็นแหล่งคนพลุกพล่าน แน่นอนว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดคงเป็นห้างสรรพสินค้า ช้อปปิ้งมอลล์ หากคุณกำลังคิดว่าจะพาไปดูทำเลตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ หล่ะก็ เสียใจด้วยเพราะวันนี้จะมาแนะนำสถานที่ ช้อปปิ้งมอลล์สตรีทที่น่าสนใจ ราคาระดับเอาไว้ให้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่กำลังอยากจะเริ่มธุรกิจนี้กัน

เสนา เฟส

เป็นโครงการไลฟ์สไตล์มอลล์ เพื่อรองรับประชากรย่านคลองสาน และธนบุรี สถานที่เดินทางไม่ลำบากมาก อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สามารถเดินทางได้ทั้งทางบก และทางน้ำ พื้นที่โครงการ 4 ไร่ 1 งาน 36 ตารางวาความกว้างที่ดิน ด้านหน้าติดถนนเจริญนครกว้าง 60 เมตร ด้านหน้าติดถนนกรุงธนบุรีกว้าง 115 เมตร ทางฝั่งธนเป็นพื้นที่กำลังเติบโต 2-3 ปีมานี้มีโครงการคอนโด ผุดขึ้นมามากมายตามแนวรถไฟฟ้า ฉะนั้น เสนา เฟส เป็นทำเลที่น่าจับตามอง ในอนาคตน่าจะเป็นศูนย์รวมของคนฝั่งธนได้ ภายในตัวอาคารเองมีด้วยกัน 3 ชั้น ซึ่งชั้นบนได้จัดไว้เป็นโซนการศึกษาเฉพาะด้วย

ออมนิ คอมมูนิตี้มอลล์

ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ ซอยลาดพร้าว 116 ที่ตั้งโครงการอยู่ใจกลางระหว่างชุมชนแยกลำสาลี และทางพิเศษฉลองรัช รามอินทราตัดใหม่ด้วยทำเลที่ตั้งท่ามกลางแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ เหมาะแก่การสร้างแหล่งนัดพบระยะทางไม่ห่างจาก Big C ลาดพร้าวมากนัก จัดว่าเป็นคอมมูนิตี้เล็กๆ 2 ชั้น พื้นที่กว้างขวางเหมาะแก่การทำสถาบันสอนภาษามากๆ อัตราค่าเช่าระดับปานกลาง

เดอะปอร์ติโก

คอมมิวนิตี้มอลล์ ซอยหลังสวน ทำเลงามชาวต่างชาติเยอะ เหมาะแก่การเปิดสถาบันสอนภาษาไทยมากๆ เดอะปอร์ติโก เป็นศูนย์การค้าแบบเปิด การสร้างเน้นความโปร่งโล่งสบาย ด้วยการทำพื้นที่ตรงกลางเป็นโถงเปิดโล่งถึง 5 ชั้น วิธีการเดินทางสะดวกไม่ยุ่งยาก เพราะสามารถมาได้ทางรถไฟฟ้าบีทีเอส

มาร์ค พลาส

มาร์ค พลาส คือ มินิมอลล์ในชุมชนซอยแจ้งวัฒนะ 10 ที่รวมเอาร้านค้า และร้านบริการขนาดเล็กหลากหลายประเภทเข้าไว้ด้วยกันเพื่อความสะดวกสบายในการซื้อสินค้า และประหยัดเวลาเดินทางของผู้อยู่อาศัย แม้ที่นี่จะอยู่ในซอย แต่ถือว่าเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ คนพลุกพล่านเข้าออกตลอด ด้วยตัวของมอลล์ที่ติดริมถนน ทำให้ผู้สัญจรไปมานั้น มองเห็นสถาบันสอนภาษาได้ง่ายขึ้น ถือว่าเป็นทำเลที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว

4 ที่ 4 สไตล์ต่างสถานที่ หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจสถาบันสอนภาษาอยู่ไม่มากก็น้อยนะครับ

error: Content is protected !!