คนจำนวนมากมอง email เป็นเพียงแค่เครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วประโยชน์ของ email มีมากกว่านั้น โดยเฉพาะในด้านการช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจ เพราะปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อส่วนใหญ่มักมีรูปแบบการทำงานบนโต๊ะและหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ด้วยกันทั้งสิ้น email จึงกลายเป็นวิธีการเข้าถึงที่รวดเร็วและแม่นยำมากที่สุดที่หลายๆ ธุรกิจต่างนิยมใช้เพื่อช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจ ทั้ง email ยังมีรูปแบบที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัวซึ่งจำเป็นต้องกระตุ้นยอดขายในงบประมาณที่มีจำกัด ข้อดีของการใช้ email เพื่อส่งสริมการทำธุรกิจมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ประการคือ
1. email เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย และมากกว่า
email จัดเป็นเครื่องมือสื่อสารประเภทหนึ่งที่มีจุดเด่นอยู่ตรงที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคเป็นรายบุคคลได้ในปริมาณมากเมื่อเทียบกับการกดส่งเพียงหนึ่งครั้ง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่มีทางหาได้จากสื่อการตลาดประเภทอื่นๆ และเพราะในปัจจุบันทุกคนแทบจะมี email เป็นของตนเองกันหมดแ้ลว บางคนอาจมีมากกว่าหนึ่งด้วยซ้ำไป ซึ่งพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่มักเปิดอ่าน email อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้ประกอบการจึงสามารถส่งข่าวสารทางธุรกิจหรือขายสินค้าผ่านทาง email ได้โดยตรง เพราะมันจะไปถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เรากำำหนดไว้ในแอดเรสอย่างแน่นอน นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังสามารถส่งไปถึงผู้บริโภคหลายคนได้ในคราวเดียวกันอีกด้วย
2. email ระบุผู้รับได้ชัดเจนกว่า
สื่อการตลาดประเภทอื่นมักจะใช้วิธีสื่อสารไปยังผู้บริโภคในลักษณะเหวี่ยงแห ซึ่งบางครั้งค่อนข้างจะคลุมเครือและไม่ค่อยตรงกับกลุ่มฐานลูกค้าที่ผู้ประกอบการต้องการและวางเอาไว้มากนัก email จึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากที่สุด เพราะผู้ประกอบการสามารถใส่ email ชื่อ ที่อยู่ ลงไปในช่องว่างของผู้รับได้โดยตรง จึงสามารถส่งข้อความไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายที่ตนเองต้องการได้ในทันที ปัญหาการเหวี่ยงแหจับผู้บริโภคจึงหมดไป
3. email กำหนดเวลา และความถี่ในการส่งได้
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการใช้ email ทำธุรกิจก็คือ ผู้ประกอบการสามารถเลือกเวลาพร้อมความถี่ในการส่งได้ด้วยตนเอง ถึงแม้การสื่อสารทางการตลาดวิธีอื่นๆ ก็สามารถทำส่วนนี้ได้เหมือนกัน แต่มันไม่มีความละเอียดเทียบเท่ากับ email เพราะหากเป็นสื่ออย่างวิทยุหรือโทรทัศน์ แม้ผู้ประกอบการจะสามารถกำหนดเวลาการยิงโฆษณาได้ แต่หากผู้บริโภคเกิดลุกไปรับโทรศัพท์ในตอนนั้นก็เท่ากับว่าเขาไม่ได้เห็นโฆษณา แต่หากเป็น email ผู้ประกอบการสามารถกำหนดเวลาลงไปได้อย่างชัดเจนว่าต้องการส่ง email เวลาไหนและความถี่เท่าไร อีกทั้งแม้จะเลยเวลาไปแล้ว แต่ผู้บริโภคก็ยังมาเปิดดูได้ภายหลัง email จึงเป็นวิธีการที่ลดการคลาดเคลื่อนระหว่างสื่อกับผู้บริโภคได้ดีมากอีกวิธีการหนึ่ง
4. email ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
จุดเด่นที่สุดของ email คงต้องยกให้เรื่องค่าใช้จ่าย เพราะในกรณีที่ใช้ email ทำธุรกิจผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่บาทเดียว เนื่องจากเป็นบริการฟรีและสามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ในทุกขั้นตอน จึงเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทไปได้มาก เพราะหากเป็นวิธีการอื่นๆ ผู้ประกอบการอาจต้องเสียเงินจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะมาเป็นผู้ดำเนินการให้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น โฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ เป็นต้น
5. ปรับเนื้อหา email ให้เหมาะกับผู้รับได้
เครื่องมือการตลาดในแบบอื่นๆ มักถูกผลิตออกมาให้มีลักษณะการสื่อสารที่เป็นกลางสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ซึ่งแม้จะมีข้อดีแต่ก็มีข้อเสียในบางส่วนอยู่เช่นกัน เพราะต้องเข้าใจว่ารูปแบบสื่อสารการตลาดในลักษณะหนึ่งไม่ได้มีความเหมาะสมและสามารถใช้ได้กับกลุ่มผู้บริโภคทุกประเภท และหากปรับเปลี่ยนให้มีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น แน่นอนว่ารายจ่ายก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แต่สำหรับ email สามารถปรับเปลี่ยนหรือสร้างชิ้นงานโฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายทุกประเภทได้ แค่ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเนื้อหารายละเอียดภายใน email เพียงเท่านี้ผู้ประกอบการก็จะได้ email ที่มีความเหมาะสมเป็นการเฉพาะกับลูกค้ากลุ่มต่างๆแล้ว ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
6. email สามารถวัด feedback กลับได้ทันที
email มีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือผู้ประกอบการสามารถวัด Feedback หรือผลตอบรับได้ทันทีที่ส่ง email ออกไปยังผู้บริโภค เพราะหากผู้บริโภคตอบ email กลับมาหรือแม้กระทั่งเปิดอ่าน ก็แสดงว่ารูปแบบการใช้ email ของผู้ประกอบการได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งแตกต่างจากวิธีอื่นที่วัดผลความสำเร็จได้ค่อนข้างยากและส่วนใหญ่ยังเป็นการคาดคะเนอีกต่างหาก จึงมักขาดความเที่ยงตรงอยู่เสมอ
สรุป
ปัจจุบันเป็นที่รับรู้กันโดยดุษณีว่า email มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจค่อนข้างมาก ธุรกิจหลายประเภทประสบความสำเร็จได้เพราะใช้ email เป็นเครื่องมือในการวิ่งหาผู้บริโภคแทนการใช้พนักงาน จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการทุกคนควรหันมาให้ความสนใจมากขึ้น แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการควรต้องระมัดระวังคือการส่ง email ทางธุรกิจถึงแม้จะเป็นวิธีการที่ง่าย แต่บางครั้งก็อาจสร้างความรำคาญจนเป็นที่มาของความหงุดหงิดในกลุ่มผู้บริโภคที่มีต่อบริษัทของผู้ประกอบการได้เหมือนกัน ผู้ประกอบการจึงต้องพิจารณาดูถึงความถี่ในการส่งควบคู่กันไปด้วย ไม่ให้น้อยหรือมากจนเกินไป เพราะสุดท้ายแล้ว email ทางธุรกิจคงสูญเปล่าและไม่มีค่าอันใดหากถูกผู้บริโภคกำหนดให้มันเป็น email ขยะ