กีวีมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน เริ่มมีการปลูกครั้งแรกในมณฑลซีเจียง ต่อมามีการนำเมล็ดเข้ามาปลูกในทวีปยุโรปครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1910 จนมีการปลูกมากขึ้นเป็นผลไม้ส่งออกของประเทศ ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 ประเทศนิวซีแลนด์ ได้เริ่มเพาะปลูกและส่งจำหน่ายผลกีวีให้แก่สหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อผลไม้ที่เรียกว่า kiwifruit หรือเรียกสั้นว่า kiwi ในปัจจุบัน
กีวี (Kiwi) เป็นผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของประเทศแถบที่มีอากาศหนาวเย็น เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะวิตามินซี สามารถนำมารับประทานสด และใช้ประกอบอาหาร เช่น แยม เยลลี่ ไอศครีม น้ำผลไม้กีวี เป็นต้น
กีวีจัดเป็นผลไม้แบบเบอรี่ เป็นไม้เลื้อยมีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมทั่วทั้งต้น ใบจะมีลักษณะเป็นใบเดี่ยวรูปหัวใจออกเรียงสลับกันแผ่นใบมีสีเขียว มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมอยู่เช่นกันโคนใบเว้า หลายใบแหลม ขอบใบหยักขนาดใบกว้างประมาณ 4 ถึง 7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 ถึง 10 เซนติเมตร ดอกจะเป็นดอกเดียวหรือเป็นช่อดอกเกสรเพศผู้และดอกเกสรเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ลักษณธดอกมีสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ
ผลของกีวีจะมีลักษณะฉ่ำน้ำ มีรูปร่างทรงกระบอกหรือรูปไข่ มีลักษณะใหญ่ที่ขั้วผลและด้านท้ายผลเล็กลง แต่ก็จะลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ ผิวเปลือกมีสีเขียวหรือสีน้ำตาล มีขนสีน้ำตาลปกคลุมทั่วผล เนื้อผลดิบจะแข็งและเมื่อสุกจะอ่อนนิ่ม สีเนื้อมีทั้งสีเขียว สีเขียวแกมเหลืองหรือสีเหลือง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมากเรียงตัวรอบแกนผล สีของเมล็ดของผลอ่อนมีสีขาว และจะมีสีดำเมื่อผลแก่หรือสุก
พันธุ์เพศเมีย
1. พันธุ์ Abbott
เป็นพันธุ์ที่ออกดอกเร็วที่สุด กลีบดอกใหญ่ แยกไม่ซ้อนทับกัน แต่ให้ผลผลิตไม่สูง ผลมีขนาดกลาง กว้างประมาณ 4.8 ซม. ยาวประมาณ 6.9 ซม. น้ำหนักผลประมาณ 90 กรัม/ผล มีขนยาว อ่อน และหนาแน่น เนื้อสีเขียวจาง มีเมล็ดมาก รสหวานอมเปรี้ยว ความหวานประมาณ 14.13 องศาบริกซ์
2. พันธุ์ Allison
เป็นพันธุ์ที่ออกดอกเร็ว แต่ช้ากว่า Abbott เล็กน้อย กลีบดอกใหญ่ มีขอบกลีบดอกย่น และซ้อนทับกัน ผลมีลักษณะคล้ายพันธุ์ Abbott แต่ขนาดใหญ่กว่าทั้งความกว้าง และความยาว
3. พันธุ์ Bruno
เป็นพันธุ์ที่ออกดอกเร็ว แต่ช้ากว่าพันธุ์ Allison เล็กน้อย ดอกคล้ายพันธุ์ Allison แต่กลีบดอกแคบกว่า และซ้อนทับกันน้อยกว่า ให้ผลผลิตสูง ผลมีขนาดใหญ่ ผลมีรูปร่างยาว ผลมีสีน้ำตาลเข้ม มีขนปกคลุมหนาแน่น แต่ขนสั้น และเปราะพันธุ์ Abbott น้ำหนักผลประมาณ 98 กรัม/ผล ความหวานประมาณ 13.25 องศาบริกซ์
4. พันธุ์ Hayward หรือ Chico
เป็นพันธุ์มาจากนิวซีแลนด์ มีความนิยมบริโภคมากที่สุด มีลักษณะออกดอกช้า ให้ผลผลิตค่อนข้างต่ำ (ดอกบานในขณะที่พันธุ์ Abbott กลีบดอกร่วงแล้ว) กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปถ้วย ซ้อนทับกัน ผลเป็นรูปไข่ ใหญ่ที่ขั้วผล และปลายผลแบน ผลกว้างประมาณ 4.3 ซม. ยาวประมาณ 5.96 ซม. น้ำหนักผลประมาณ 80-120 กรัม/ผล ผลมีสีน้ำตาลอมเขียวหรือสีเขียวจาง มีขนปกคลุมหนาแน่น ให้รสหวานเปรี้ยว ความหวานประมาณ 13.69 องศาบริกซ์
5. พันธุ์ Monty
เป็นพันธุ์ที่ออกดอกช้า ออกดอกก่อนพันธุ์ Hayward ติดผลเป็นจำนวนมาก ผลมีนาดกลางถึงเล็ก โดยเฉพาะถ้าติดผลมาก ผลจะมีขนาดเล็กลง ผลมีรูปร่างทรงกลมยาว ผลกว้างประมาณ 5.35 ซม. ยาวประมาณ 6.78 ซม. น้ำหนักผลประมาณ 80-120 กรัม/ผล ความหวานประมาณ 12.81 องศาบริกซ์
6. พันธุ์ Dexter
เป็นพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตดี แต่ให้ผลผลิตต่ำ ผลมีลักษณะกลมยาว ผลกว้างประมาณ 4.5 ซม. ยาวประมาณ 6.22 ซม. น้ำหนักผลประมาณ 66 กรัม/ผล มีเมล็ดมาก ความหวานประมาณ 13.29 องศาบริกซ์
พันธุ์เพศผู้
1. พันธุ์ Matua
มีดอกจำนวนมาก ออกดอกเป็นช่อ 1 ช่อมีประมาณ 1 ถึง 7 ดอก เฉลี่ยช่อละ 3 ดอก ก้านช่อดอกมีขนสั้น มีช่วงการบานนานกว่าพันธุ์ Tomori และดอกเริ่มร่วงเมื่อดอกพันธุ์ Hayward พร้อมรับการผสม ก้านช่อดอกมีขนยาว ดอกชุดหนึ่งมีตั้งแต่ 1 ถึง 7 ดอกปกติมี 5 ดอก
2. พันธุ์ Tomori
ดอกจะบานก่อนพันธุ์ Matua และดอกเริ่มร่วงก่อนพันธุ์ Matua จะบาน โดยเริ่มบานหลังพันธุ์ Abbott และก่อนพันธุ์ Allison เล็กน้อย ก้านช่อดอกมีขนสั้น 1 ช่อดอกมีดอกเฉลี่ยประมาณ 5 ดอก
วิธีการเพาะปลูก การเพาะปลูกกีวีนั้นจะต้องมีการปลูกผสมกันระหว่างพันธุ์เพศผู้และพันธุ์เพศเมีย กีวีที่ปลูกในประเทศไทยนั้นจะเข้าสู่ระยะพลัดใบในช่วงปลายเดือนธันวาคม จากนั้นเข้าสู่ระยะแตกใบใหม่และเกิดตาดอกประมาณกลางเดือนมีนาคม ดอกจะบานเมื่อใบอ่อนคลี่เต็มที่และทยอยบานตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม โดยดอกที่มีการผสมเกสรจะติดเป็นผลประมาณต้นเดือนเมษายน ซึ่งในระยะ 8 สัปดาห์ ผลจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และจะเริ่มคงที่ประมาณเดือนกันยายน หลังจากนั้นจะเก็บผลผลิตในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม
กีวีเป็นพืชที่ชอบอากาศหนาวเย็นในบางช่วง และเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ดินร่วนปนทรายที่มีหน้าดินลึก ไม่ชอบพื้นที่น้ำขัง หน้าดินแน่นหรือเป็นดินเหนียวมาก ดินมีลักษณะเป็นกรดเล็กน้อย
การขยายพันธุ์ การขยายพันธุ์กีวีสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด การปักชำ การเสียบยอด แต่ที่นิยมในปัจจุบัน คือ การปักชำและการเสียบยอดบนต้นตอ เนื่องจากสามารถคัดเลือกสายพันธุ์และต้นพันธุ์ที่ดีได้ สามารถให้ผลผลิตที่เร็วกว่า
1. การปักชำ จะใช้กิ่งแก่อายุมากกว่า 1 ปี ใช้กิ่งในระยะพักตัวช่วงเดือนมากราคม โดยตัดกิ่งยาวประมาณ 15 ซม. ตัดปลายด้านต้นกิ่งให้เป็นปากฉลาม จุ่มด้วยฮอร์โมนเร่งราก และปักชำในถุงเพาะชำ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน รากจึงจะงอก และแทงใบใหม่
2. การเสียบยอด ใช้สำหรับการเปลี่ยนต้นพันธุ์ใหม่ โดยต้นตออาจเป็นต้นตอเดิมที่มีอายุมากหรือเป็นต้นตอใหม่ที่เป็นพันธุ์ไม่ต้องการ แล้วเสียบยอดพันธุ์ใหม่แทน นิยมทำสำหรับการผลิตต้นกล้า และเปลี่ยนถ่ายต้นใหม่ในแปลง
การเพาะเมล็ด (สำหรับผู้ที่เลือกปลูกหรือขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแบบอื่นให้ข้ามขั้นตอนนี้ไปครับ) ควรเลือกเมล็ดกีวีจากกีวีที่เป็นสายพันธุ์ออแกนิค เพราะมิฉะนั้นแล้วจะไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อได้ครับ เมื่อได้เมล็ดมาแล้วก็นำมาผึ่งลมให้แห้งประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นจึงเตรียมการปลูกดังนี้
1.เตรียมภาชนะสำหรับเพาะเมล็ด
2.วัสดุปลูก ขุยมะพร้าว+ทรายละเอียด อัตรา 1 ต่อ 1 ผสมน้ำให้มีความชื้นพอสมควร
3.โรยเมล็ดลงกล่อง ใช้ไม้จิ่มฟันเขี่ยคลุกเคล้าโดยอย่าให้เมล็ดกีวีจมดินไปเยอะเกิน ประมาณ 25 วัน จากนั้นจะเริ่มเห็นใบจริง แสดงว่ากีวีของเราพร้อมที่จะย้ายไปลงแปลงปลูกแล้วครับ
การปลูก
การปลูกต้นกีวีจะปลูกทั้งต้นเพศผู้ และต้นเพศเมียสลับแถวหรือระยะกัน เพื่อให้มีการผสมเกสรได้อย่างทั่วถึงในสัดส่วนต้นเพศผู้ 1 ต้น และต้นเพศเมีย 6-8 ต้น ในแนวเดียวกัน โดยสลับเป็นช่วง ๆ และให้สลับตำแหน่งกับแถวอื่น ๆ ด้วยระยะปลูกระหว่างต้นอยู่ที่ 4×4 – 6×6 เมตร รองหลุมด้วยปุ๋ยคอกประมาณ 1 กำมือ
การทำค้าง
การทำค้างถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปลูกกีวี เพื่อให้กีวีสามารถแผ่กิ่งรับแสงได้เต็มที่ ช่วยให้กิ่งไม่พันทับกัน ลักษณะค้างที่นิยมคือ รูปแบบตัว T ตามแนวยาวของแถวปลูก โดยมีหลักค้ำยันรูปตัว T ปักในระหว่างต้น ระยะห่างของเสาที่ 2-3 ต้นของต้นกีวี
การให้น้ำ แนะนำระบบการให้น้ำแบบระบบหยด และควรมีแนวบังลมเพื่อป้องกันต้นกีวีหัก เสียหาย
การให้ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยคอกประมาณ 2 – 3 เดือนต่อครั้ง ในช่วงที่กีวีผลัดใบให้งดการให้ปุ๋ยและลดปริมาณน้ำลงด้วย ในช่วงแตกใบและติดตาจึงเริ่มใส่ปุ๋ยอีกครั้ง และในช่วงที่กีวีออกดอกควรให้ปุ๋ยหรือน้ำหมักสูตรบำรุงใบและผล โดยห้ามใช้ฉีดพ่นให้ใส่ปุ่ยบริเวณพื้นดินแทน
กีวีเป็นพืชที่ชอบอากาศหนาวเย็น เพาะปลูกยากผู้ที่จะทำการเพาะปลูกต้องเตรียมตัวอย่างดี มีฉะนั้นผลผลิตที่ได้จะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย