ถ้าท่านอยากปลดหนี้จากบัตรเครดิต หรืออยากหาทางออกหนี้บัตรเครดิต ต้องลองอ่านบทความนี้ดูก่อนครับ เนื่องจากด้วยสภาพเศรษฐกิจดังเช่นในทุกวันนี้ ที่คนทำงานอย่างเราๆ จะมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ทำให้เกิดปัญหาหนี้สินกันขึ้นมา หลายๆ ท่านที่มีอัตราเงินเดือนถึง ก็จำเป็นต้องไปทำบัตรเครดิต เพื่อนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้า หรือไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก่อน หลายๆ ท่านที่ใช้บัตรเครดิตแล้ว ผลปรากฎในภายหลังว่าตัวเองมีหนี้จากบัตรเครดิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ไปปลดหนี้ไม่ทัน ทำให้ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย แทนที่จะจ่ายน้อย ก็ต้องจ่ายมากขึ้น หรือเครียดกับปัญหาการเงิน ซึ่งก็เป็นปัญหาหนักอกอยู่ทีเดียวนะครับเรื่องเงิน จะต้องไปหาเงินกู้ยืมจากที่อื่นมาโปะหนี้บัตรเครดิต ทำให้วงจรทางด้านการเงินต้องติดลบไป และส่งผลเรื่อยมาถึงการใช้ชีวิตประจำวัน ส่งผลถึงชีวิตในด้านอื่นตามๆ มา
ซึ่งผมก็มีวิธีการปลดหนี้จากบัตรเครดิตแบบง่าย ๆ ไปลองปรับใช้ดูเพื่อการลดหนี้บัตรเครดิตนะครับ
1. ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
ครับ สำหรับข้อแรกนี้ ก็เป็นการบอกกล่าวกันอย่างตรงประเด็นเลยว่า ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ถ้ามันเป็นเหตุทำให้เกิดปัญหาทางการเงินต่างๆ ตามมา ซึ่งคุณก็อาจจะรู้อยู่แล้วว่า อาจจะจ่ายได้ไม่หมด ต้องเป็นหนี้อย่างแน่นอน
ซึ่งการหมุนเงินบัตรเครดิต คือ คุณไม่ได้ชำระหนี้ทั้งหมด คุณจ่ายแค่ 5-10% เท่านั้น (หรือมากกว่า) หนี้ที่ค้างชำระก็จะเพิ่มในเดือนถัดไปเรื่อยๆ คุณจะถูกชาร์จดอกเบี้ย (ประมาณ 2.5-2.75% ต่อเดือนแล้วแต่ที่) ตามที่เงินต้นที่ติดค้าง และรวมไปถึงทุกธุรกรรมด้านการเงินที่จ่ายบัตรเครดิต
ถ้าคุณมีหนี้ค้างชำระ 10,000 บาท และคุณออกไปทานข้าวซึ่งมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 800 บาท จำนวนเงินที่คุณค้างชำระจะเป็น 10,800 บาท และดอกเบี้ยนั้นจะคิดกับเงินต้นที่ 10,800 บาท ไม่ใช่ 10,000 บาท
ทางออก คือ เลิกใช้บัตรเครดิต เมื่อคุณต้องออกไปช้อปปิ้ง ให้เก็บมันหรือวางมันเอาไว้ที่บ้าน อย่าให้บัตรเครดิตมาเอาชนะชีวิตคุณ ใช้เงินสดแทนหรือสินเชื่ออื่นๆ จนกว่าคุณจะจ่ายหนี้หมด ให้ระลึกเอาไว้ในใจว่า การเป็นหนี้ไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุขเลย ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
2. เอาบัตรเครดิตอีกใบหนึ่งไปโปะใบที่เป็นหนี้
เมื่อคุณเข้าไปในธนาคาร และขอทำธุรกรรมทางการเงิน ธนาคารหลายแห่งต่างยินดีที่จะบริการคุณในกรณ๊ที่คุณไม่เคยมีหนี้เครดิตบูโรมากก่อน ดังนั้นเขาจะเสนอวงเงินให้คุณใช้จ่าย ซึ่งแน่นอนว่าคุณอาจจะมีความสุขในตอนที่ได้บัตรเครดิตมา คุณจะดูเหมือนว่าคุณจะเอาไปซื้ออะไรก็ได้ ส่วนเรื่องอื่นไว้ว่ากันทีหลัง
ผมจะเสนอวิธีเอาบัตรเครดิตอีกใบหนึ่งไปโปะใบที่เป็นหนี้ นั่นหมายความว่า สมมุติว่าคุณมีบัตรเครดิตของบริษัท A และคุณใช้วงเงินของบัตรเครดิตของบริษัท B จ่ายหนี้ที่คุณค้างชำระที่บริษัท A อะไรคือผลของข้อตกลงนี้ ผลของข้อตกลงนี้คือคุณจะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราตามของธนาคาร B
ดอกเบี้ยจะต่ำใน 6 เดือนแรก ซึ่งจะลดลงประมาณ 1.25%-1.75% คุณควรที่จะปิดหนี้ในช่วงเวลา 6 เดือนนี้ แต่ถ้าเกิน 6 เดือนนี้ ดอกเบี้ยจะกระโดดไปที่ 2.5%-2.75% ทันที
3. ใช้สินเชื่อส่วนบุคคลมาชำระหนี้บัตรเครดิต
ผมคิดว่าบางท่านอาจจะเคยถูกพนักงานขายสินเชื่อโทรหา เป็นการขายสินเชื่อทางโทรศัพท์ซึ่งเค้าจะมีฐานข้อมูลของเราอยู่ เพื่อเสนอสินเชื่อกู้ยืมเงินส่วนบุคคล (เหมือนเขาจะมีแบบนี้นี้บ่อยมากในช่วงนี้) หรือถ้าคุณทำธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารต่างๆ บ่อย คุณจะมีโอกาสกู้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่น้อยกว่าที่อื่นๆ
ถ้าอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตอยู่ที่ 2.5%-2.75% ต่อเดือน และจะประมาณ 30%-33% ต่อปี ถ้าใช้มาตรฐานนี้ สินเชื่อส่วนบุคคลจะถูกกว่า
สินเชื่อส่วนบุคคลจะประมาณ 21% ต่อปี หรือน้อยกว่านั้น (14%-18% ต่อปี) ถ้าคุณเลือกธนาคารที่เหมาะสม ใช้สินเชื่อนี้ชำระหนี้บัตรเครดิตเพราะดอกเบี้ยของสินเชื่อส่วนบุคคลน้อยกว่ามาก
4. ขอผ่อนส่งเป็นรายเดีอน
อีกทางเลือกหนึ่งก็คือการพูดกับตัวแทนของบริษัทเจ้าของบัตรโดยตรง และขอให้เขาจัดตารางการใช้หนี้ของเราใหม่ ลองถามเค้าว่าสามารถระงับดอกเบี้ย และแยกหนี้ของคุณออกเป็นส่วนๆ เพื่อที่จะให้คุณสามารถจ่ายเป็นงวดๆ ได้หรือไม่ การจ่ายเป็นรายเดือนจะกำหนดจำนวนเงินที่คุณจะต้องจ่าย และเวลาที่คุณต้องใช้หนี้ จนกระทั่งคุณจ่ายเงินหมด ซึ่งจะเป็นเวลากี่เดือน หรือกี่ปีก็แล้วแต่คุณจะตกลงกับทางบริษัทเจ้าของบัตร
สรุป
ซึ่งผมเองก็ดูแล้วว่า การไม่เป็นหนี้บัตรเครดิตนั้นเป็นหนทางที่ดีที่สุด เป็นการทำให้ตัวเองไม่เดือดร้อนนอนทุกข์ หลังจากที่เราปลดหนี้จากบัตรเครดิตไปเรียบร้อยแล้ว เราควรจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของเราเสียใหม่ ด้วยการไม่แตะบัตรเครดิต เราต้องเดินสวนทางกับคนอื่น ถ้าเราไม่อยากเป็นหนี้อีกในอนาคต หลายๆ คนก็หาเงินใช้หนี้กันหลายปีจนหมด แล้วก็เลิกใช้บัตรเครดิตกันไปเลย แต่บางคนก็ยังไม่เข็ด เพราะว่าบัตรเครดิตมันย่างเย้ายวนใจเหลือเกิน
เราอาจจะลองเก็บเงินในการซื้อสินค้าอะไรสักอย่างที่เราต้องการ ลองเก็บไปสัก 6 เดือน พอถึงเวลานั้นคุณอาจจะเกิดเปลี่ยนใจว่าสินค้าชนิดนั้นมันก็ไม่ได้จำเป็นอะไรเท่าไหร่ ซึ่งเงินที่จะนำไปซื้อสินค้าของคุณทั้ง 6 เดือน ก็กลายเป็นเงินเก็บเข้าธนาคารของคุณไป หรือถ้าคุณเกิดเปลี่ยนใจคุณจะนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อสินค้าชนิดนั้นก็ได้ แต่เป็นการซื้ออย่างสบายใจ ซื้อมาแล้วมีความสุข ไม่ต้องไปจ่ายหนี้ในภายหลัง ผมว่าวิธีนี้จะดีกว่านะครับ
และผมอยากฝากไว้ “การไม่เป็นหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ” นะครับ