หลายๆ ท่านที่กำลังทำธุรกิจกันในตอนนี้ก็อาจจะปวดหัวกับสภาพการขายสินค้า คือไม่รู้จะขายอะไร หรือขายสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่ทำกำไรได้ไม่เข้าเป้าสักที ถ้าอย่างงั้นมาลองอ่านบทความนี้นะครับ เผื่อจะได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาบ้างครับ
ถ้าสมมติว่าวันนี้เราสามารถมีเงินเริ่มทำธุรกิจได้เพียงแค่ 150 บาท หรือประมาณ 5 เหรียญสหรัฐ เราจะทำยังไง จะทำยังไงให้มันเกิดกำไรสูงขึ้นมาแบบทะลุขีดจำกัดไปถึง 130 เท่า แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำได้ แต่ด้วยไอเดียดีๆ ทุกอย่างเป็นไปได้ครับ
ศาสตราจารย์ Tina Seelig สอนวิชานวัตกรรมสร้างสรรค์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนีย ได้ให้โจทย์ทางธุรกิจกับนักศึกษาว่า สมมติคุณมีเงินเริ่มธุรกิจได้แค่ 5 เหรียญ คุณจะทำยังไงให้ได้กำไรกลับมาสูงสุด ให้โจทย์นี้กับนักศึกษาที่ถูกแบ่งเป็น 14 ทีม และให้เวลาเพียงแค่ 1 อาทิตย์ไปคิดหาวิธีมา และให้เวลา 2 ชั่วโมงสำหรับภาคปฏิบัติในการทำเงินให้ได้กำไรกลับมาสูงสุด แล้วให้มารายงานหน้าชั้นเรียนเป็นเวลา 3 นาที
ถ้าเป็นคุณผู้อ่านเจอโจทย์แบบนี้จะคิดหาไอเดียอย่างไรดี
เราลองมาดูไอเดียที่นักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแต่ละทีมได้เลือกทำกันจากเงิน 5 เหรียญนี้
กลุ่มที่หนึ่ง เอาเงินไปซื้อมะนาว น้ำตาล และมาทำน้ำมะนาวขายหน้ามหาวิทยาลัย อืม…ก็เข้าท่า
กลุ่มที่สอง ได้ไปรับจ้างเติมลมยางรถจักรยานหน้ามหาวิทยาลัย คิดเงินคันละ 1 เหรียญ จนกระทั่งพวกเขาค้นพบว่า ถ้าขอเป็นเงินบริจาคจะได้เยอะกว่า เลยเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคแทน อันนี้ออกแนวการกุศล
กลุ่มที่สาม ได้เงินมากกว่าทั้งสองกลุ่ม และมีคิดสร้างสรรค์ได้ค่อนข้างดี คือ พวกเขาตัดสินใจเลือกทำงานในคืนวันศุกร์ และให้เพื่อนผู้ชายขับรถพาสาวๆ ไปทิ้งไว้หน้าร้านอาหารที่คนแน่น แล้วให้ไปจองคิวตามร้านอร่อยที่ลูกค้าต้องยืนรอกันเกือบชั่วโมง พอได้คิวแล้วก็เอาคิวไปขายให้ลูกค้าคนอื่นที่เพิ่งมา คิดเงินคิวละ 20 เหรียญ ได้ลัดคิวกันไปเลยไม่ต้องยืนรอ กลุ่มนี้หาเงินได้หลายร้อยเหรียญในเวลา 2 ชั่วโมง เพราะใครๆ ก็อยากมาแล้วได้ทานอาหารเลย
กลุ่มที่สี่ กลุ่มที่ชนะเลิศในครั้งนี้ สามารถหาเงินได้ถึง 650 เหรียญ เป็นกำไรถึง 130 เท่าตัว และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่ได้ใช้เงิน 5 เหรียญนั้นเลย เขาทำได้อย่างไรกัน
หลังจากที่พวกเขาประชุมกันนาน ทุกคนในกลุ่มโหวตว่า พวกเขาจะขายเวลา นักศึกษากลุ่มนี้เฉลยว่า พวกเขานั่งประชุมกันนานว่า จะทำอะไรกันดี บางคนบอกไปซื้อลอตเตอรี่ดีกว่า ไปลาสเวกัส และอื่นๆ แต่ในที่สุดทุกคนสรุปว่า ต้นทุนที่ดีที่สุดที่พวกเขามีไม่ใช่เงิน 5 เหรียญ แต่เป็นเวลา 3 นาทีต่างหาก สำหรับการนำเสนอแผนธุรกิจหน้าห้องเรียนที่เต็มไปด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดจำนวนเป็นร้อยๆ คน ที่ต้องการนั่งฟังรายงานโดยไม่ลุกไปไหน
นักศึกษากลุ่มนี้จึงหาบริษัทที่ต้องการขายสินค้า แล้วก็ได้ขายเวลา 3 นาทีที่ตัวเองต้องพรีเซ็นต์ ให้กับบริษัทที่ต้องการเวลา 3 นาทีโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเองแทน (ไม่ต้องเหนื่อยกันเลยทีเดียว) พอถึงวันที่ต้องรายงาน นักศึกษากลุ่มนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร นอกจากฟังเพื่อนพรีเซ็นต์และพอถึงเวลาของตัวเอง ก็ให้บริษัทที่ตกลงกันไว้มาพรีเซ็นต์สินค้า เสร็จแล้วทางบริษัทได้จ่ายเงิน 650 เหรียญสำหรับเวลา 3 นาทีที่มีค่าให้กับทีมนักศึกษาที่ขายเวลาให้ เรียกได้ว่าไอเดียดีจริงๆ ครับ
และอาจารย์ปลื้มใจที่ลูกศิษย์คิดได้นอกกรอบเหลือเชื่อ
บทความนี้มาจากหนังสือชื่อ What I Wish I Knew When I Was 20
ผู้เขียนคือ Tina Seelig จาก มหาวิทยาลัย Standford
ถือได้ว่าเป็นบทความที่ดี ที่อ่านแล้วได้ข้อคิดอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าเรารู้จักใช้ไอเดียที่มีให้เป็นประโยชน์ ไอเดียดีๆ จะสร้างเงินให้เรากลับมาได้หลายเท่าเลยทีเดียวครับ
แนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังสือน่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20
เริ่มต้น ทำไมคุณน่าจะรู้แบบนี้ ตั้งแต่ตอนอายุ 20 ปี
บทที่ 1 ซื้อหนึ่ง แถมสอง
มองปัญหาให้เป็นโอกาส : เธอได้ให้โจทย์นักเรียนคือแบ่งทีมกัน และใช้เงินทุนเพียง 5 ดอลลาร์หรือ 150 บาทเท่านั้น ทีมที่หาได้มากสุดคือ 650 ดอลลาร์หรือ 19,500 บาทในเพียง 2 ชั่วโมงของการทำงาน ส่วนทีมที่ล้มเหลวคือการซื้อล็อตเตอรี่ เพราะความเสี่ยงที่ขาดทุนมีมากที่สุด
เธอบอกว่าหลายคนมักกลัวปัญหา ซึ่งความกลัวไม่เป็นเรื่องแปลก แต่ความกลัวนั้นจะสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม จนไปต่อไม่ได้เลยทีเดียว เธออยากให้มองปัญหาของตัวเองและคนอื่นเป็นโอกาส สิ่งที่ทำให้ทีมได้รับเงินมากขนาดนั้นคือการเปิดรับบริการฝากซื้อของจากคนที่ไม่ต้องการต่อแถวนานๆ ซึ่งในอเมริกาการยืนต่อแถวซื้อของนั้นหลายครั้งแถวจะยาวมาก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายคนในอเมริกาเลยทีเดียว
บทที่ 2 ละครสัตว์แบบกลับตาลปัตร
ตีลังกามองโลก : บทนี้พูดธุรกิจละครสัตว์แบบเดิมที่กำลังตกต่ำ เพราะตลาดอิ่มตัว หรือเบื่อละครสัตว์แบบเดิมๆ เขาเลยทำสวนสัตว์แบบใหม่ โดยไปถามลูกค้าหลายคนที่เบื่อแบบเดิมว่าไม่ชอบอะไรบ้าง จากนั้นตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพิ่มมูลค่าเพิ่ม และการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆให้ดูดีขึ้น อย่างในไทยให้นึกถึง Thai Fight ในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับมวยไทยในวัดแบบยุคเก่า คุณจะเห็นภาพได้ชัดครับ สิ่งที่สำคัญของบทนี้ก็คืออย่าให้ตัวเรายึดติดความคิดในระบบเก่าจนไปต่อไม่ได้ เพราะหลายคนยึดติดกับระบบเก่าจนล้มเหลวได้ครับ
บทที่ 3 ซูชิหน้าแมลงสาบ
เปลี่ยนเรื่องเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เธอเล่าเรื่องที่ดูเพี้ยนที่สุดอย่างซูชิหน้าแมลงสาบ ธุรกิจที่มีอยู่จริงในโลกนี้ และขายดีมากในบางประเทศ เปรียบเทียบในบ้านเราก็มีเรื่องการขายแมลงทอดที่แรกๆดูบ้าสุดๆ แต่ก็ขายดีจนถึงทุกวันนี้ได้ ซึ่งเธอบอกว่าไอเดียที่ดูบ้า,เพี้ยนสุดๆ นั้นอาจเป็นไอเดียที่ดีที่สุดก็ได้ จงอย่ามองข้ามมัน
โดยรวม เธอจะเล่าให้ฟังว่าคนเรามีสองประเภท ประเภทหนึ่งคือคนที่บอกว่าต้องทำอะไรถึงจะยอมทำ ประเภทที่สองคือไม่ต้องสั่ง มีไอเดียของตัวเองก็พร้อมที่จะทำ ซึ่งแบบที่สองจะประสบความสำเร็จ คุณต้องมีแนวคิดแบบที่สอง คืออนุญาตให้ใจตัวเองประสบความสำเร็จก่อนเลย จากนั้นลงมือทำเลย ที่สำคัญคือกล้าตัดสินใจที่แตกต่างจากคนอื่นๆ กล้าที่ล้มเหลวเพราะคนที่ประสบความสำเร็จหลายคนเคยล้มเหลวกันมาทั้งนั้น กล้าที่จะมองปัญหาของคนอื่นๆเป็นโอกาส กล้าจะรวมกลุ่มทำธุรกิจ กล้าที่จะทำงานที่รักรวมกับมีความสามารถในงานนั้น หรือหาคนที่รักงานนั้นรวมกับความสามารถในงานนั้นมาทำ เพราะคนที่รักในงานชนิดนั้นรวมกับมีฝีมือด้านนั้นจะทำให้ผลงานออกมาดีที่สุด
เธอยังบอกต่อว่าคนที่โชคดีเพราะเขาลงมือทำเท่านั้น คนที่ไม่ทำอะไรเลยนั้นจะไร้ซึ่งโชค เพราะโอกาสจะยิ่งน้อย ที่สำคัญก็คือการโฟกัสให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต้องการให้ประสบความสำเร็จมากกว่าจะทำเพียงเพื่อให้ผ่านไปวันๆ
บทสรุป หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนทั่วไปที่จะเริ่มทำธุรกิจและมีธุรกิจอยู่แล้วและอยากได้เงินมากขึ้น ถามว่าคุ้มค่าไหม ที่ราคาเล่มละ 170 บาทแลกกับความรู้ ผมว่าคุ้มครับ เพียงแต่คุณต้องตีโจทย์ให้แตก เพราะหนังสือเล่มนี้เหมือนเล่าเรื่องไปเรื่อยๆเหมือนครูสอนนักเรียน ถ้าไม่จับใจความที่มีประโยชน์ในคำพูดที่ยาวเหยียด การเอาไปลงมือทำก็อาจเกิดข้อผิดพลาดได้มากกว่าเดิมครับ
ที่สำคัญที่สุด ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องลงมือทำด้วยนะครับ