ดูแลตัวเองด้วยอย่ามัวแต่ทำงานอย่างเดียว

นี่ก็เป็นบทความเกี่ยวกับการดูแลตัวเองที่ผมอยากให้ทุกท่านได้อ่าน เผื่อจะเป็นข้อคิดที่ดีให้กับท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ

ถ้าการทำงานหนักทำให้เรามีเงินมากมาย แต่ความสุขในชีวิตกลับหล่นหายไปพร้อมกัน การแลกทั้งชีวิตแบบนั้น มันคุ้มค่าจริงแล้วหรือ ตราบใดที่เรายังคงต้องดำเนินชีวิตต่อไป การเดินบนทางที่บางครั้งก็เต็มไปด้วยความทุกข์จึงเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง เพราะไม่ว่าชีวิตใครก็ล้วนแต่แขวนไว้บนเส้นด้ายแห่งความทุกข์และความสุขไปควบคู่กันทั้งนั้น นี่เป็นความจริงที่เราต่างก็พบเจอและรู้กันดีอยู่แล้ว

ผมจึงคิดว่าหากเราไม่อาจปฏิเสธความทุกข์ที่เข้ามาเยือนชีวิตได้ ถ้าอย่างนั้น เราก็เปิดรับมันเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเป็นสัดส่วนของความสุขที่ควรจะมีอยู่ในหัวใจเราบ้างดีไหม อย่างการที่เรามุ่งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนัก ทั้งที่สิ่งได้รับระหว่างวันล้วนคือ ความทุกข์ เพราะเราอาจจะเร่งหาเงิน และที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อหวังทำคะแนนโบนัสพิเศษในปลายปีให้เจ้านายได้เห็นคุณค่าในผลงานที่ทำ อีกทั้งการทำงานล่วงเลยเวลา แม้จะคิดว่านั่นเป็นงาน OT ที่จะปรับตัวเลขเงินให้พุ่งยอดสูงขึ้น หากเราจะรู้ตัวด้วยไหมว่า การทำเช่นนั้นมันเท่ากับเรากำลังปรับอัตราความทุกข์ให้เพิ่มปริมาณสูงขึ้นตามด้วยเช่นกัน

แล้วมันจะคุ้มหรือ ถ้าหากสุดท้ายวันหนึ่งเรากลับป่วยหนัก ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทั้งที่วันนั้นเรามีเงินเก็บในบัญชีที่มีตัวเลขให้ยิ้มได้อย่างภูมิใจ หากแท้จริงเมื่อโรคร้ายรุมเร้า เราไม่อาจยิ้มอย่างเต็มที่ได้เลย มันคงไม่คุ้มค่าแน่ใช่ไหมที่เราไม่ดูแลตัวเองเลย ถ้าหากเงินทั้งหมดที่หามาได้ต้องหมดไปกับการรักษาตัวของเรา ใช่แล้วครับหลายคนมองเห็นคำตอบอย่างชัดเจนที่สุดว่าไม่คุ้ม หากแต่ในขณะที่เรากำลังมีแรงพลัง หลายคนก็ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานเช่นนี้ไม่ยอมหยุดพัก ไม่ดูแลตัวเอง

เงินไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต

ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังครับ คุณยายท่านหนึ่ง สมัยก่อนท่านทำงานค้าขายเสื้อผ้าอย่างหนัก นับตั้งแต่ช่วงวัยที่คุณยายเป็นสาวท่านก็อดทนทำงานแบกผ้าหามผ้าเร่ขาย ตากแดดตากลม แม้เหนื่อยเพียงไหน หากก็ไม่ยอมหยุดพักสักนิด นั่นก็เพราะสิ่งจูงใจที่เรียกว่า ‘เงิน’ คุณยายเชื่อว่าการมีเงินเยอะๆ สามารถตอบแทนความสุขที่เฝ้าหามาทั้งชีวิตได้ หากที่สุดแล้ว เมื่อคุณยายต้องอดทนทำงานหนักเพื่อเก็บเงินเป็นระยะเวลามาเกือบทั้งชีวิต จนตอนนี้คุณยายอายุได้กว่า 70 ปีและหยุดค้าขายอย่างลำบากนั่นแล้ว หากสุดท้ายผมก็พบว่าคุณยายท่านนี้เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลบ่อยครั้งมาก โรงพยาบาลแทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สอง ห้องไอซียูแทบจะเป็นห้องนอนที่คุณยายพักผ่อนหลับนอนโดยมีทีมแพทย์พยาบาลคอยเฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิด เวลาคุณยายออกจากโรงพยาบาลกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านตามปกติ และในทุกครั้งที่คุณยายจะเดินทางไปไหนก็ตาม ลูกหลานก็จะคอยประคองคอยดูแลอยู่ใกล้อย่างเป็นห่วงเสมอ

ในขณะที่เงินเก็บในบัญชีคุณยายซึ่งได้มาจากการทำงานหนักมาทั้งชีวิตนั้นต่อให้มีค่ามหาศาลมากมายเพียงไหน หากมันก็ไม่พอที่คุณยายจะซื้อหาความสุขเพื่อปรนเปรอชีวิตตัวเองในยามบั้นปลายได้ น่าเสียดาย ที่คุณยายเฝ้าเพียรแลกทำงานอย่างหนักเพื่อแลกมากับสิ่งที่ทุกคนเรียกว่า ‘เงิน’ กลับไม่อาจซื้อสุขภาพที่แข็งแรงให้ชีวิตคุณยายได้เพราะคุณยายกลับต้องนำเงินเหล่านั้นมารักษาชีวิตตัวเองอยู่ตลอดเป็นระยะเวลาหลายปีทีเดียว นั่นเป็นเพราะคุณยายท่านนี้ได้หาเงินอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้ดูแลตัวเองเลย

ผมเชื่อว่าการทำงานหนักเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันมอบเงินเดือนและเลี้ยงชีวิตเราได้ แต่การทำงานอย่างมีความสุข ย่อมไม่ใช่ความหมายเดียวกันกับการทำงานอย่างหนักจนลืมดูแลตัวเอง หรือของสุขภาพตัวเองแน่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหากเราไม่คิดจะแบ่งเวลามาบริหารความสุขในแต่ละวันให้เกิดขึ้น ให้ชีวิตตัวเองได้พักผ่อนเต็มที่บ้าง ให้การทำงานดำเนินไปพร้อมกับการเก็บเกี่ยวความสุขใส่กระเป๋าหัวใจไปด้วย มันจะไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยการที่เรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แม้แต่เงินก็หาซื้อไม่ได้

เรื่องราวของคุณยายทำให้ผมคิดไปว่า ต่อให้วันหน้าเรามีเงินเก็บเป็นล้าน ต่อให้ซื้อบ้าน ซื้อรถคันหรูราคาแพงได้ แต่ถามว่าหากต้องอดทนทำงานหนักจนกว่าจะถึงวันนั้น บ้านหลังใหญ่โตเราจะมีชีวิตอยู่ได้สักกี่ปี รถคันหรูเราจะได้นั่งไปได้อีกนานแค่ไหน

ความสุขในระหว่างวันล้วนรอการเกิดขึ้นทั้งนั้น แม้ความทุกข์จะเดินเข้ามาพร้อมกัน หากทุกอย่างก็ล้วนขึ้นอยู่กับใจของเรา ว่าจะเปิดรับให้สิ่งใดเข้ามาหา และมีอิทธิพลกับชีวิตมากกว่า หากแบ่งเวลาให้ตัวเองได้หยุดพักจากการทำงานไม่ได้มากนัก งั้นก็อย่าบีบบังคับให้ตัวเองต้องเร่งทำงานหนักเพื่อรับเอาความทุกข์มาสุมไว้เพิ่มขึ้นดีไหม เพราะถ้าไม่อาจพาตัวเองหลุดพ้นความทุกข์ไปได้ ก็ขอเพียงอย่าปล่อยมือความสุขให้หลุดหายไปจากชีวิตด้วยก็พอ

ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

ในความเป็นจริงแล้ว คงจะไม่มีใครอยากจะติดต่องาน หรือธุรกิจกับคนขี้โรคหรอกครับ บางทีคู่สนทนาของคุณอาจจะหน้ายิ้ม แต่ในใจก็คิดว่าทำไมคุณถึงปล่อยให้ตัวเองป่วยอย่างนี้ ไม่ดูตัวเองกันบ้างเลยหรือยังไง ขนาดตัวเองยังไม่ดูแล แล้วเรื่องธุกิจจะไปรอดหรือเนี่ย แล้วเวลาครั้งต่อๆ ไป ถ้าคุณยังป่วยขี้โรคอยู่ อาจจะทำให้คู่สนทนาไม่อยากคุยด้วยได้ ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งสำคัญนะครับ เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลตัวเอง รักษาสุขภาพร่างกายไว้ให้ดีอยู่เป็นประจำ อาจจะไม่ต้องเพื่อใคร แต่ทำเพื่อตัวคุณเองนั่นแหล่ะครับ

การไปออกกำลังฟิตเนสทุกวัน ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีของคนทำงานสมัยนี้ คุณจะได้ห่างไกลจากโรคทั้งหลาย หรือถ้าวันจันทร์ถึงศุกร์ไม่ว่างจริงๆ อาจจะกลับบ้านมาซิตอัพ หรือยกดัมเบลล์เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดีครับ หรือถ้าไม่ว่างๆ จริงๆ ธุรกิจรัดตัวตั้งแต่เช้ายันกลางคืน ก็ให้ออกกำลังกายวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อให้ร่างกายได้มีแรงกำลังวังชา คิดอ่านอะไรจะได้ไม่สะดุดยังไงหล่ะครับ

นอกจาการออกกำลังกายแล้ว การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก็สามารถช่วยเสริมสร้างร่างกายเราให้แข็งแรงได้เหมือนกันครับ และอย่าทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไป จะทำให้ไขมันสะสมอยู่ในร่างกายเรา แทนที่ออกกำลังกายแล้วจะหุ่นดี กลับต้องเสียเวลาไปลดน้ำหนักอีกครับ และอาหารที่มีรสเผ็ดจัด หวานจัด เค็มจัด อันี้ก็ไม่ดีต่อสุขภาพเหมือนกันครับ ถ้าทานเข้าไปบ่อยๆ ในระยะยาวจะไม่ส่งผลดีเลยครับ

นอกจากคุณจะเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยแล้ว คุณยังต้องดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีด้วย ถ้าคุณรวยล้นฟ้า แต่สุขภาพไม่ดี จะไปเที่ยวไหนก็ลำบาก เดินเหินไม่สะดวก เวลาทานข้าว ก็ทานนั่นไม่ได้ ทานนี่ไม่ได้ เพราะหมอห้ามเอาไว้ ฉะนั้นเงินที่คุณมีมาทั้งหมดก็เอามาทำอะไรไม่ได้เลยครับ

ผมก็อยากให้ทุกท่านดูแลตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรต่างก็ต้องใช้สุขภาพร่างกายที่ดีในการทำงาน และ “ความไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐ” คือลาภที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม้แต่เงินล้นฟ้าก็ซื้อหามาไม่ได้ครับ

error: Content is protected !!