สูตรวิธีทำขนมสังขยาเผือก พร้อมคำแนะนำในการขายขนมสังขยาเผือก

สูตรวิธีทำขนมสังขยาเผือก สูตรที่ 1

ส่วนผสม

-เผือกขนาดกลาง 3 หัว
-ไข่ไก่เบอร์ 0 จำนวน 6 ฟอง
-หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
-ใบเตย 4-5 ใบ
-น้ำตาลทราย ครึ่งถ้วยตวง
-น้ำตาลโตนด ครึ่งถ้วยตวง
-เกลือป่น 1 ช้อนชา
-ฝอยทองเล็กน้อย (สำหรับตกแต่งหน้าขนม)

วิธีทำ

-เลือกเผือกขนาดกลาง 3 หัว แล้วนำลงไปแช่น้ำสะอาดประมาณ 10 นาที
-จากนั้นล้างเผือกให้สะอาด ให้หมดคราบเศษดิน เพื่อความสะดวกและความสะอาดในการปอก
-ทำการปอกเปลือกเผือกออกให้หมด แล้วล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้ง
-หลังจากก็หั่นแบ่งครึ่งเผือก 1 หัวให้ได้ 2 ชิ้น แล้วหั่นส่วนแหลมๆ ของเผือกบริเวณหัวและท้ายออกไป จนได้ชิ้นเผือกที่มีลักษณะเป็นชิ้นวงกลม
-ใช้มีดกรีดตรงกลางชิ้นเผือกตามแนวตั้ง เป็นรูปวงกลม โดยกำหนดให้ห่างจากขอบ 1 นิ้ว ทำเช่นนี้จะได้เผือกทั้งหมด 6 ชิ้น
-ค่อยๆ แกะและคว้านเนื้อเผือกออกมา เว้นระยะให้เหลือเนื้อเผือกติดก้นเล็กน้อย
-นำเศษเผือกที่เหลือทั้งหมด มาหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ แล้วพักใส่ถ้วยไว้
-จากนั้นตอกไข่ไก่ใส่ลงในภาชนะผสม ตามด้วยตามน้ำตาลทราย น้ำตาลโตนด เกลือป่น และหัวกะทิ
-สวมถุงมือพลาสติก แล้วนำใบเตยมาขยำ นวดส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน
-นวดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำตาลทั้งสองชนิดละลายจนหมด แล้วค่อยตักใบเตยทิ้งไป
-ใช้ผ้าขาวบางวางบนหม้อ หรือถ้วยชาม แล้วเทส่วนผสมสังขยาที่นวดจนเข้ากันแล้ว กรองให้ได้เนื้อส่วนผสมที่เนียน 1 รอบ
-แล้วพักส่วนผสมสังขยาไว้ประมาณ 20 นาที
-ตั้งชุดหม้อนึ่งบนเตา แล้วรอให้น้ำเดือดจัด
-ระหว่างที่กำลังรอน้ำเดือด ให้นำเผือกที่คว้านเนื้อออกแล้วทั้ง 6 ชิ้น วางเรียงในลังถึง เว้นให้ห่างจากกันเล็กน้อย
-คนส่วนผสมตัวสังขยาที่พักไว้ให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วตักหยอดลงไปในตัวเผือก กะปริมาณให้พอดี เว้นพื้นที่ให้ขนมขยายตัว อย่าตักจนเต็มตัวเผือก เพราะจะทำให้เนื้อขนมสังขยาที่นึ่งสุกล้นออกมา ทำให้ดูไม่น่ารับประทาน
-เมื่อน้ำในหม้อนึ่งเดือดจนได้ที่ ก็ยกลังถึงขึ้นตั้ง นึ่งขนมประมาณ 30-40 นาที
-พอครบเวลาที่กำหนดแล้ว ก็ยกลังถึงลงจากหม้อนึ่ง ปิดไฟ แล้วพักขนมไว้ในลังถึง รอให้เย็นตัวลง คลายความร้อนจนสนิท จึงค่อยจัดใส่จาน
-เมื่อขนมเย็นตัวลงแล้ว จึงใช้เกียงแซะขนมขึ้นมาจากลังถึงอย่างเบามือ วางลงบนจานใบเล็ก
-ตกแต่งหน้าด้วยฝอยทองเล็กน้อย เพื่อความสวยงาม เท่านี้ขนมสังขยาเผือกแสนอร่อยก็พร้อมรับประทานแล้วครับ

สูตรวิธีทำขนมสังขยาเผือก สูตรที่ 2

ส่วนผสมขนมสังขยาเผือก (สำหรับวางบนหน้าข้าวเหนียวมูน)

-เผือกขนาดกลาง 1 หัว
-ไข่ไก่เบอร์ 0 จำนวน 4 ฟอง
-หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
-ใบเตย 4-5 ใบ
-น้ำตาลทราย ครึ่งถ้วยตวง
-น้ำตาลโตนด ครึ่งถ้วยตวง
-เกลือป่น 1 ช้อนชา
-ฝอยทอง และไข่แมงดา (สำหรับตกแต่งหน้าขนม)
-ถั่วเหลืองคั่วเล็กน้อย (สำหรับตกแต่งหน้าขนม)

วิธีทำ

-ขั้นตอนแรกให้เลือกเผือกหัวขนาดกลาง 1 หัว โดยเลือกที่มีเนื้อแน่น ปอกสะอาดไม่มีรอยแมลงกัด
-นำเผือกลงไปแช่ในน้ำให้เศษดินหลุดออกไป ประมาณ 10 นาที
-จากนั้นก็ล้างให้สะอาด แล้วปอกเปลือกเผือกออกให้เกลี้ยง
-หั่นเผือกเป็นชิ้นยาวประมาณ 3 นิ้ว ความหนาปานกลาง สำหรับใส่โรยหน้าสังขยา เมื่อหั่นเสร็จแล้วให้พักใส่ถ้วยรอเอาไว้ก่อน
-เทกะทิ น้ำตาลทราย น้ำตาลโตนด และเกลือป่นลงในชามผสมอาหาร
-ต่อมาก็ตอกไข่ไก่ลงไป 4 ฟอง ใช้ทัพทีคนไปมา ให้ส่วนผสมเข้ากันเล็กน้อย
-นำใบเตย 4-5 ใบ ใส่ลงมาในชามผสม แล้วสวมถุงมือขยำส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน จนได้เนื้อสังขยาที่เนียนและมีกลิ่นหอมใบเตย หลังจากนั้นก็ตักใบเตยทิ้งไป
-กรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง 1 ครั้ง เพื่อให้ได้เนื้อสังขยาที่เนียน และมีความละมุน
-แล้วเทส่วนผสมที่กรองแล้วทั้งหมด ใส่ลงในถาดสำหรับนึ่งขนม
-ใช้ไม้จิ้มฟัน หรือส้อมจิ้มไล่ฟองอากาศออกให้หมด เพื่อให้ได้หน้าขนมที่เนียนสวยงาม
-นำเผือกที่หั่นเป็นชิ้นยาวๆ ไว้มาวางเรียงลงไปอย่างเบามือ ใส่ให้ทั่วหน้าสังขยา
-ตั้งชุดหม้อนึ่งแล้วรอให้น้ำเดือดจัด
-จากนั้นก็นำถาดขนมวางใส่ลังถึง และยกขึ้นตั้งบนหม้อนึ่ง นึ่งนาน 30 นาที จนเนื้อขนมและเผือกสุก
-เมื่อครบเวลาที่ตั้งไว้ ก็ปิดเตาและยกลังถึงลงมาพักไว้ รอให้ขนมเย็นตัวลง ประมาณ 30 นาทีครับ
-พอขนมในถาดเย็นตัวลง ให้นำมีดคมมาตัดขนมเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ให้ได้ชิ้นที่เท่ากัน
-โดยสังขยาเผือกแบบเป็นชิ้น สามารถทานคู่กับข้าวเหนียวมูนได้ จัดข้าวเหนียวมูนลงในจาน แล้วตักสังขยาเผือกวางลงไป ตกแต่งด้วยไข่แมงดาและถั่วเหลืองคั่วเล็กน้อย เพื่อความสวยงาม
-ทั้งนี้สามารถนำขนมไปทานคู่กับไอติมกะทิ หรือจะตัดให้ได้ชิ้นสี่เหลี่ยมเท่าขนาดขนมปังแผ่น แล้วโรยหน้าด้วยฝอยทอง ทำเป็นแซนวิชขนมปังสังขยาเผือกก็ได้นะครับ
-หรือนำไปทำข้าวเหนียวสังขยาเผือกแบบที่ใช้ห่อใบตองก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังจัดเสิร์ฟแบบเป็นชิ้น แล้วโรยหน้าด้วยฝอยทอง ไข่แมงดาและถั่วเหลืองคั่วได้อีกด้วยครับ นับว่าเป็นเมนูที่สามรถประยุกต์นำไปรับประทานได้หลากหลาย และเป็นขนมที่มีการขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยากมากนัก ต้องลองทำรับประทานดูสักครั้งนะครับ

error: Content is protected !!